ค้นหา
Latest topics
วิธีปลูกไผ่ทองสยาม
หน้า 1 จาก 1
วิธีปลูกไผ่ทองสยาม
ไผ่ทองสยาม (ไผ่ตงลืมแล้ง ,กิมซุง)
ทั่วโลกมีไผ่ประมาณ 1,250 ชนิด สำหรับประเทศไทยมีประมาณ 60 ชนิด ไผ่มีคุณประโยชน์
มหาศาลต่อมวลมนุษย์ชาติสำหรับนำมาทำอาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องใช้ต่างๆ การคมนาคม หลังงาน
มากมาย มนุษย์ ได้ใช้ประโยชน์จากไผ่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติมาหลายศตวรรษ จนในที่สุดพื้นที่ป่าไผ่
ได้ลดน้อยลงอย่างมหาศาล จนกระทั่งองค์การสหประชาชาติได้รายงานว่า 1 ใน 3 ของไผ่กำลังจะสูญ
พันธ์ ไปจากโลก มีสาเหตุสำคัญมาจากการตัดหน่อไม้ และการทำลายป่า ประเทศต่างๆ จึงได้จัดตั้ง
สถาบันวิจัย และพัฒนาไผ่ขึ้นที่ประเทศจีน พร้อมทั้งได้มีการรณรงค์ให้มีการขยายพันธ์ไผ่เกิดขึ้น
ไผ่ทองสยามเป็นพันธ์ไผ่ที่นำเข้าจากประเทศจีน เป็นสายพันธ์ที่ผ่านการคัดเลือกมาอย่างดี และ
ผ่านการทดสอบในสภาพพื้นที่ของประเทศไทยแล้ว สามารถเจริญเติบโตได้ดีในทุกพื้นที่ของประเทศ
ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีการส่งออกหน่อไม้ไปยังต่างประเทศ เมื่อปี พ. ศ . 2533
มีมูลค่าถึง 700 ล้านบาท ปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศที่นำเข้าไผ่จากประเทศพม่า ลาว เวียดนาม
และเขมร เป็นจำนวนมากในรูปของหน่อไม้ และต้นไผ่ ประมาณปีละ 200 ล้านบาท เดิมประเทศไทย
ได้มีการปลูกไผ่ตง ไผ่ลวก และไผ่เลี้ยง ประมาณเกือบ 1.5 ล้านไร่ และได้เกิดการตายของไผ่ตงทั้งประ
เทศ เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ทำให้พื้นที่ไผ่ที่ปลูกมีปริมาณลดลงเหลือประมาณ 200,000 ไร่ ประกอบกับ
ป่าไผ่ที่ มีตามธรรมชาติมีปริมาณเหลือน้อยมาก ส่วนใหญ่อยู่ในป่าสงวนแห่งชาติ จึงทำให้ราคาของ
หน่อไม้และต้นไผ่มีราคาที่สูงมากขึ้น
ประโยชน์ของไผ่ทองสยาม
ประโยชน์ของไผ่ ได้มีการพัฒนาเป็นสินค้าอุตสาหกรรมหลายชนิด เช่น อาหารจากหน่อไม้
กระดาษ เสื้อผ้า ถ่านไม้ นำมาทำเครื่องกรองน้ำดับกลิ่น เครื่องสำอาง ยารักษาโรคมะเร็ง วัสดุในการ
ผลิตกระแสไฟฟ้า ตะเกียบ ไม้จิ้มฟัน แบตเตอรี่ เฟอร์นิเจอร์ พื้นปาร์แก้ รองเท้า เครื่องประดับภายใน
บ้าน เครื่องใช้ต่างๆ ในการเกษตร เช่น ค้ำยันต้นไม้ เลี้ยงหอย เลี้ยงปลา ตลอดจนไม้ค้ำยันในการก่อ
สร้าง และดินปลูกต้นไม้ เป็นต้น การเก็บเกี่ยวหน่อไม้ และต้นไผ่นั้น สามารถทำได้ตลอดทั้งปี เมื่อ
ไผ่มีอายุที่เหมาะสมและจะมีหน่อใหม่ หรือลำไผ่ใหม่อย่างต่อเนื่อง จนเป็นก่อไผ่ที่เจริญเติบโตอย่าง
ยั่งยืนจนกลายเป็นป่าไผ่ที่ยั่งยืน ที่สภาพแวดล้อมที่ร่มรื่น และร่มเย็นทำให้ชุมชนมีอาชีพที่หลากหลาย
และยั่งยืนตลอดจนมีสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่
คุณลักษณะของไผ่ทองสยาม
1. ปลูกง่าย โตเร็ว ไม่มีหนาม มีศัตรูพืชทำลายน้อย ไม่มีความจำเป็นต้องใช้สารเคมี ปราบศัตรูพืช
2. ปลูกได้ในดิน และภูมิอากาศทุกภาคของประเทศไทย ทนแล้ง และน้ำท่วม ไม่ตายหลังจากปลูกได้ 5 เดือน
3. ตอบสนองต่อปุ๋ย และน้ำได้ดี
4. หน่อไม้ไม่มีขน ไม่ต้องคลุมหน่อไม้ รสชาติดี ไม่มีเสี้ยน
5. ต้นไผ่เนื้อหนา รูเล็ก มีน้ำหนักดี
6. อายุ 7 เดือน สามารถให้หน่อไม้ได้ หน่อไม้มีน้ำหนักประมาณ 1-3 กิโลกรัม ต่อหน่อ สามารถให้หน่อไม้ได้
ตลอดทั้งปี
7. หลังจากปลูกได้ 1 ปี ให้หน่อไม้ได้ประมาณ 5,000 – 6ม000 กิโลกรัม ต่อไร่ ต่อปี
8. หลังจากปลูกได้ 2 ปี
- มีต้นไผ่ประมาณ 15-20 ต้นต่อกอ หรือ 1,500 – 2,000 ต้นต่อไร่
- ตัดต้นไผ่ทำอุตสาหกรรมได้อย่างน้อย 10 ต้นต่อกอ หรือ 1,000 ต้นต่อไร่ ต่อปี
- น้ำหนักต้นไผ่ต่อต้น ประมาณ 25-30 กิโลกรัม ต่อต้น สามารถตัดต้นไผ่ได้ประมาณ 10 ต้นต่อกอ
ต่อปี หรือ 1,000 ตันต่อไร่ ต่อปี หรือประมาณ 25 ตันต่อไร่ต่อปี ( รวมทั้งต้น )
- เส้นผ่นศูนย์กลางของต้น มีขนาดประมาณ 2-4 นิ้ว ยาวประมาณ 10 เมตร มีน้ำหนักประมาณ 20 กก.
ต่อต้น ( สำหรับทำตะเกียบ )
1. วิธีการปลูกไผ่ทองสยาม
ฤดูปลูกที่เหมาะสม
1. พื้นที่ชลประทาน สามารถปลูกได้ทุกเดือน
2. พื้นที่น้ำฝน ควรปลูกเมื่อเริ่มมีฝนตกชุก ประมาณเดือนมิถุนายน – กันยายน
การขนย้ายกล้าไผ่ และเตรียมต้นกล้าปลูก
1. วางตั้งบนรถโดยใช้ผ้าตาข่ายล้อมรอบคันรถ เพื่อป้องกันไม่ให้ลมตีใบ ไผ่เสียหาย ถ้าเป็นรถ
กระบะมีหลังคา ควรเปิดท้ายเพื่อให้อากาศถ่ายเท
2. นำต้นกล้าไว้ในร่ม ประมาณ 2-10 วัน เพื่อให้ฟื้นตัวจากการได้รับการกระทบกระเทือนระหว่าง
การขนส่ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพของการกระทบกระเทือน ถ้าใบไม้เหี่ยวให้นำลงปลูกได้เลย
3. รถน้ำวันละ 2-3 ครั้ง ได้แก่ ช่วงเช้า บ่าย ละเย็น
4. ก่อนนำไปปลูกลงหลุม ควรหยุดการให้น้ำ 24 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้ดินในถุงเละ
2.วิธีการปลูก
1. ระยะการปลูก 4 x 4 เมตร หรือ 100 ต้นต่อไร่
2. ขุดหลุมกว้างประมาณ 30 เซนติเมตร และลึก 30 เซนติเมตร
3. ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ หรือมูลสัตว์ประมาณ 2-3 กิโลกรัมต่อหลุม โดยมูลสัตว์ควรเป็นมูลสัตว์แห้ง
4. นำดินปากหลุมคลุกเคล้ากับปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยคอกให้เข้ากัน
5. นำต้นกล้าทั้งถุงวางลงในหลุม แล้วใช้มีดกรีดตัดถุงพลาสติกทั้ง 2 ข้าง กรีดจากข้างบนลงล่างถึงก้นถุง
จากนั้นค่อยๆ ดึงถุงพลาสติกออก อย่าให้ดินในถุงแตก จะมีผลทำให้รากขาด ทำให้ชะงักการเจริญเติบโต
ในกรณีที่ดินในถุงแตกระหว่างการดึงถุงพลาสติกออก ควรใช้ทางมะพร้าวคลุมบังแดด ประมาณ 3-4 สัปดาห์
จะทำให้ไผ่ฟื้นตัวเร็วขึ้น
6.ใช้ดินกลบหลุมรอบโคนต้นไผ่ ไม่ต้องกดดิน
7. ใช้ฟางข้าวหรือหญ้าแห้งคลุมรอบๆ โคนต้น จะช่วยในการรักษาความชื้น และลดการงอกของวัชพืช
8. ให้น้ำวันเว้นวัน ประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นให้น้ำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
3. การใส่ปุ๋ย
อายุไผ่ ชนิดปุ๋ย ใส่อัตราครั้งละ
กก. / ไร่ เดือนที่ใส่ปุ๋ยหลังจากการปลูก
1-12 เดือน อินทรีย์ หรือ
ปุ๋ยคอก
200 รองก้นหลุม เดือนที่ 2,4 และ 6
15-15-15
46-0-0 10
5 เดือนที่ 3, 5 ,7, 9 และ 11
หลังจากปีที่ 1 อินทรีย์ หรือ
ปุ๋ยคอก
200 เดือนที่ 2 ของปี
15-15-15
46-0-0 20
10 เดือนที่ 1 ,3,5 ,7, 9 และ 11
หมายเหตุ - การใส่ปุ๋ยควรโรยรอบๆ ต้น แล้วพรวนดินกลบอย่าใส่ปุ๋ยในโคนต้น หรือใบไผ่โดยเฉพาะปุ๋ยเคมี
- หลังจากโตแล้วประมาณ 7 เดือน ไม่ต้องพรวนดิน
4. การตัดแต่ง
1. ควรทำความสะอาดรอบๆ บริเวณโคนต้นไผ่ไม่ให้หญ้าขึ้น
2. เมื่อไผ่โตสูงขึ้น ควรตัดใบและกิ่งบริเวณโคนต้น เพื่อให้ลมสามารถพัดผ่าน และมีแสงแดดช่วยไม่ให้
หน่อเน่าเสียได้ง่าย
5. การตัดหน่อไม้
ควรตัดหน่อไม้ หน่อที่มีรูปร่างเหมือนเจดีย์ ถ้าหน่อไม้ยืดสูงขึ้นจนด้านล่างของหน่อไม้เป็นทรงตรง
รูปร่างเหมือนเจดีย์หายไปและมีหน่อสูง เรียกว่า หน่อบิน เป็นหน่อที่แก่ ไม่เหมาะสำหรับหน่อไม้ที่นำมาทำ
อาหาร การตัดหน่อไม้ให้ได้ผลผลิตสูง และยั่งยืนควรเก็บต้นแม่ไว้ หรือต้นไผ่ไว้ประมาณ 5 ต้นต่อกอ และ
ควรตัดหน่อไม้หลังจาก 1 ปี จะทำให้ไผ่มีผลผลิตที่สูง
6. การตัดต้นไผ่
ควรตัดหลังจากอายุ 2 ปีขึ้นไป โดยดูสีของเนื้อ ไม้มีสีเขียว ผิวเป็นมัน และมีสีเหลืองปะปนอยู่นิดหน่อย
แสดงว่าต้นไผ่เหมาะแก่การใช้งานได้ ควรตัดต่อไม้เดือนละต้นต่อกอ หรือ 100 ต้นต่อไร่ ต่อเดือน หรือ 1,000
ต้นต่อปี ต่อไร่ ในกรณีที่ตัดหน่อไม้ด้วย ควรตัดต้นไผ่กอละ 3 ต้น หรือ 300 ต้น ต่อไร่ ต่อปี
ทั่วโลกมีไผ่ประมาณ 1,250 ชนิด สำหรับประเทศไทยมีประมาณ 60 ชนิด ไผ่มีคุณประโยชน์
มหาศาลต่อมวลมนุษย์ชาติสำหรับนำมาทำอาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องใช้ต่างๆ การคมนาคม หลังงาน
มากมาย มนุษย์ ได้ใช้ประโยชน์จากไผ่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติมาหลายศตวรรษ จนในที่สุดพื้นที่ป่าไผ่
ได้ลดน้อยลงอย่างมหาศาล จนกระทั่งองค์การสหประชาชาติได้รายงานว่า 1 ใน 3 ของไผ่กำลังจะสูญ
พันธ์ ไปจากโลก มีสาเหตุสำคัญมาจากการตัดหน่อไม้ และการทำลายป่า ประเทศต่างๆ จึงได้จัดตั้ง
สถาบันวิจัย และพัฒนาไผ่ขึ้นที่ประเทศจีน พร้อมทั้งได้มีการรณรงค์ให้มีการขยายพันธ์ไผ่เกิดขึ้น
ไผ่ทองสยามเป็นพันธ์ไผ่ที่นำเข้าจากประเทศจีน เป็นสายพันธ์ที่ผ่านการคัดเลือกมาอย่างดี และ
ผ่านการทดสอบในสภาพพื้นที่ของประเทศไทยแล้ว สามารถเจริญเติบโตได้ดีในทุกพื้นที่ของประเทศ
ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีการส่งออกหน่อไม้ไปยังต่างประเทศ เมื่อปี พ. ศ . 2533
มีมูลค่าถึง 700 ล้านบาท ปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศที่นำเข้าไผ่จากประเทศพม่า ลาว เวียดนาม
และเขมร เป็นจำนวนมากในรูปของหน่อไม้ และต้นไผ่ ประมาณปีละ 200 ล้านบาท เดิมประเทศไทย
ได้มีการปลูกไผ่ตง ไผ่ลวก และไผ่เลี้ยง ประมาณเกือบ 1.5 ล้านไร่ และได้เกิดการตายของไผ่ตงทั้งประ
เทศ เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ทำให้พื้นที่ไผ่ที่ปลูกมีปริมาณลดลงเหลือประมาณ 200,000 ไร่ ประกอบกับ
ป่าไผ่ที่ มีตามธรรมชาติมีปริมาณเหลือน้อยมาก ส่วนใหญ่อยู่ในป่าสงวนแห่งชาติ จึงทำให้ราคาของ
หน่อไม้และต้นไผ่มีราคาที่สูงมากขึ้น
ประโยชน์ของไผ่ทองสยาม
ประโยชน์ของไผ่ ได้มีการพัฒนาเป็นสินค้าอุตสาหกรรมหลายชนิด เช่น อาหารจากหน่อไม้
กระดาษ เสื้อผ้า ถ่านไม้ นำมาทำเครื่องกรองน้ำดับกลิ่น เครื่องสำอาง ยารักษาโรคมะเร็ง วัสดุในการ
ผลิตกระแสไฟฟ้า ตะเกียบ ไม้จิ้มฟัน แบตเตอรี่ เฟอร์นิเจอร์ พื้นปาร์แก้ รองเท้า เครื่องประดับภายใน
บ้าน เครื่องใช้ต่างๆ ในการเกษตร เช่น ค้ำยันต้นไม้ เลี้ยงหอย เลี้ยงปลา ตลอดจนไม้ค้ำยันในการก่อ
สร้าง และดินปลูกต้นไม้ เป็นต้น การเก็บเกี่ยวหน่อไม้ และต้นไผ่นั้น สามารถทำได้ตลอดทั้งปี เมื่อ
ไผ่มีอายุที่เหมาะสมและจะมีหน่อใหม่ หรือลำไผ่ใหม่อย่างต่อเนื่อง จนเป็นก่อไผ่ที่เจริญเติบโตอย่าง
ยั่งยืนจนกลายเป็นป่าไผ่ที่ยั่งยืน ที่สภาพแวดล้อมที่ร่มรื่น และร่มเย็นทำให้ชุมชนมีอาชีพที่หลากหลาย
และยั่งยืนตลอดจนมีสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่
คุณลักษณะของไผ่ทองสยาม
1. ปลูกง่าย โตเร็ว ไม่มีหนาม มีศัตรูพืชทำลายน้อย ไม่มีความจำเป็นต้องใช้สารเคมี ปราบศัตรูพืช
2. ปลูกได้ในดิน และภูมิอากาศทุกภาคของประเทศไทย ทนแล้ง และน้ำท่วม ไม่ตายหลังจากปลูกได้ 5 เดือน
3. ตอบสนองต่อปุ๋ย และน้ำได้ดี
4. หน่อไม้ไม่มีขน ไม่ต้องคลุมหน่อไม้ รสชาติดี ไม่มีเสี้ยน
5. ต้นไผ่เนื้อหนา รูเล็ก มีน้ำหนักดี
6. อายุ 7 เดือน สามารถให้หน่อไม้ได้ หน่อไม้มีน้ำหนักประมาณ 1-3 กิโลกรัม ต่อหน่อ สามารถให้หน่อไม้ได้
ตลอดทั้งปี
7. หลังจากปลูกได้ 1 ปี ให้หน่อไม้ได้ประมาณ 5,000 – 6ม000 กิโลกรัม ต่อไร่ ต่อปี
8. หลังจากปลูกได้ 2 ปี
- มีต้นไผ่ประมาณ 15-20 ต้นต่อกอ หรือ 1,500 – 2,000 ต้นต่อไร่
- ตัดต้นไผ่ทำอุตสาหกรรมได้อย่างน้อย 10 ต้นต่อกอ หรือ 1,000 ต้นต่อไร่ ต่อปี
- น้ำหนักต้นไผ่ต่อต้น ประมาณ 25-30 กิโลกรัม ต่อต้น สามารถตัดต้นไผ่ได้ประมาณ 10 ต้นต่อกอ
ต่อปี หรือ 1,000 ตันต่อไร่ ต่อปี หรือประมาณ 25 ตันต่อไร่ต่อปี ( รวมทั้งต้น )
- เส้นผ่นศูนย์กลางของต้น มีขนาดประมาณ 2-4 นิ้ว ยาวประมาณ 10 เมตร มีน้ำหนักประมาณ 20 กก.
ต่อต้น ( สำหรับทำตะเกียบ )
1. วิธีการปลูกไผ่ทองสยาม
ฤดูปลูกที่เหมาะสม
1. พื้นที่ชลประทาน สามารถปลูกได้ทุกเดือน
2. พื้นที่น้ำฝน ควรปลูกเมื่อเริ่มมีฝนตกชุก ประมาณเดือนมิถุนายน – กันยายน
การขนย้ายกล้าไผ่ และเตรียมต้นกล้าปลูก
1. วางตั้งบนรถโดยใช้ผ้าตาข่ายล้อมรอบคันรถ เพื่อป้องกันไม่ให้ลมตีใบ ไผ่เสียหาย ถ้าเป็นรถ
กระบะมีหลังคา ควรเปิดท้ายเพื่อให้อากาศถ่ายเท
2. นำต้นกล้าไว้ในร่ม ประมาณ 2-10 วัน เพื่อให้ฟื้นตัวจากการได้รับการกระทบกระเทือนระหว่าง
การขนส่ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพของการกระทบกระเทือน ถ้าใบไม้เหี่ยวให้นำลงปลูกได้เลย
3. รถน้ำวันละ 2-3 ครั้ง ได้แก่ ช่วงเช้า บ่าย ละเย็น
4. ก่อนนำไปปลูกลงหลุม ควรหยุดการให้น้ำ 24 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้ดินในถุงเละ
2.วิธีการปลูก
1. ระยะการปลูก 4 x 4 เมตร หรือ 100 ต้นต่อไร่
2. ขุดหลุมกว้างประมาณ 30 เซนติเมตร และลึก 30 เซนติเมตร
3. ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ หรือมูลสัตว์ประมาณ 2-3 กิโลกรัมต่อหลุม โดยมูลสัตว์ควรเป็นมูลสัตว์แห้ง
4. นำดินปากหลุมคลุกเคล้ากับปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยคอกให้เข้ากัน
5. นำต้นกล้าทั้งถุงวางลงในหลุม แล้วใช้มีดกรีดตัดถุงพลาสติกทั้ง 2 ข้าง กรีดจากข้างบนลงล่างถึงก้นถุง
จากนั้นค่อยๆ ดึงถุงพลาสติกออก อย่าให้ดินในถุงแตก จะมีผลทำให้รากขาด ทำให้ชะงักการเจริญเติบโต
ในกรณีที่ดินในถุงแตกระหว่างการดึงถุงพลาสติกออก ควรใช้ทางมะพร้าวคลุมบังแดด ประมาณ 3-4 สัปดาห์
จะทำให้ไผ่ฟื้นตัวเร็วขึ้น
6.ใช้ดินกลบหลุมรอบโคนต้นไผ่ ไม่ต้องกดดิน
7. ใช้ฟางข้าวหรือหญ้าแห้งคลุมรอบๆ โคนต้น จะช่วยในการรักษาความชื้น และลดการงอกของวัชพืช
8. ให้น้ำวันเว้นวัน ประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นให้น้ำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
3. การใส่ปุ๋ย
อายุไผ่ ชนิดปุ๋ย ใส่อัตราครั้งละ
กก. / ไร่ เดือนที่ใส่ปุ๋ยหลังจากการปลูก
1-12 เดือน อินทรีย์ หรือ
ปุ๋ยคอก
200 รองก้นหลุม เดือนที่ 2,4 และ 6
15-15-15
46-0-0 10
5 เดือนที่ 3, 5 ,7, 9 และ 11
หลังจากปีที่ 1 อินทรีย์ หรือ
ปุ๋ยคอก
200 เดือนที่ 2 ของปี
15-15-15
46-0-0 20
10 เดือนที่ 1 ,3,5 ,7, 9 และ 11
หมายเหตุ - การใส่ปุ๋ยควรโรยรอบๆ ต้น แล้วพรวนดินกลบอย่าใส่ปุ๋ยในโคนต้น หรือใบไผ่โดยเฉพาะปุ๋ยเคมี
- หลังจากโตแล้วประมาณ 7 เดือน ไม่ต้องพรวนดิน
4. การตัดแต่ง
1. ควรทำความสะอาดรอบๆ บริเวณโคนต้นไผ่ไม่ให้หญ้าขึ้น
2. เมื่อไผ่โตสูงขึ้น ควรตัดใบและกิ่งบริเวณโคนต้น เพื่อให้ลมสามารถพัดผ่าน และมีแสงแดดช่วยไม่ให้
หน่อเน่าเสียได้ง่าย
5. การตัดหน่อไม้
ควรตัดหน่อไม้ หน่อที่มีรูปร่างเหมือนเจดีย์ ถ้าหน่อไม้ยืดสูงขึ้นจนด้านล่างของหน่อไม้เป็นทรงตรง
รูปร่างเหมือนเจดีย์หายไปและมีหน่อสูง เรียกว่า หน่อบิน เป็นหน่อที่แก่ ไม่เหมาะสำหรับหน่อไม้ที่นำมาทำ
อาหาร การตัดหน่อไม้ให้ได้ผลผลิตสูง และยั่งยืนควรเก็บต้นแม่ไว้ หรือต้นไผ่ไว้ประมาณ 5 ต้นต่อกอ และ
ควรตัดหน่อไม้หลังจาก 1 ปี จะทำให้ไผ่มีผลผลิตที่สูง
6. การตัดต้นไผ่
ควรตัดหลังจากอายุ 2 ปีขึ้นไป โดยดูสีของเนื้อ ไม้มีสีเขียว ผิวเป็นมัน และมีสีเหลืองปะปนอยู่นิดหน่อย
แสดงว่าต้นไผ่เหมาะแก่การใช้งานได้ ควรตัดต่อไม้เดือนละต้นต่อกอ หรือ 100 ต้นต่อไร่ ต่อเดือน หรือ 1,000
ต้นต่อปี ต่อไร่ ในกรณีที่ตัดหน่อไม้ด้วย ควรตัดต้นไผ่กอละ 3 ต้น หรือ 300 ต้น ต่อไร่ ต่อปี
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|
Fri Jul 01, 2011 2:34 pm by Admin
» จำหน่ายกิ่งไผ่กิมซุง ไผ่ตงลืมแล้ง ไผ่เขียวเขาสมิง ไผ่อินโด และ ไผ่หม่าจู ไผ่หวานใต้หวัน ไผ่ซางหม่น ไผ่จีนปักกิ่ง 8 เดือนให้ผลผลิต รับจ้างปลูกไผ่ทั่วประเทศ
Fri Jul 01, 2011 2:32 pm by Admin
» เว็บไซด์เช็คราคาผลิตผลทางการเกษตร
Fri Jul 01, 2011 11:51 am by Admin
» เว็บไซด์เช็คราคาผลิตผลทางการเกษตร
Fri Jul 01, 2011 11:50 am by Admin
» เว็บไซด์เช็คราคาผลิตผลทางการเกษตร
Fri Jul 01, 2011 11:43 am by Admin
» หน่อไผ่ยักษ์
Fri Jul 01, 2011 11:37 am by Admin
» ไผ่ด่างหายาก
Fri Jul 01, 2011 11:36 am by Admin
» ปลาชะโดยักษ์
Fri Jul 01, 2011 11:31 am by Admin
» ชมสวนไผ่ตงลืมแล้งที่สุพรรณบุรีครับ
Fri Jul 01, 2011 11:21 am by Admin